เครื่องทาบบัตร
เครื่องทาบบัตร, เครื่องสแกนบัตร (Tag Reader)
รู้จักกับเครื่องทาบบัตร
- เครื่องทาบบัตร (Tag Reader) หรือเครื่องอ่านบัตร จะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาอยู่ตลอดเวลา และคอยตรวจจับว่า บัตรพนักงาน Tag เข้ามาอยู่ในบริเวณของสนามแม่เหล็กไฟฟ้านั้นหรือไม่ หรือก็คือคอยตรวจจับคลื่นที่มีการมอดูเลตคลื่นมอดูเลต คือ คลื่นสัญญาณข้อมูลเดิมถูกผสมด้วยคลื่นพาห์ที่มีความถี่ Frequency สูงกว่ามากๆเพื่อให้ส่งคลื่นไปได้ระยะทางไกลขึ้น กำลังส่งของคลื่นไม่สูญเสียไปในอากาศจนหมด
- เมื่อมี บัตรพนักงาน Tag เข้ามาอยู่ในบริเวณสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแล้ว บัตรพนักงาน Tag ก็จะได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ เครื่องทาบบัตร (Tag Reader) ส่งออกมาแล้วจึงทำการแปลงไปเป็นศักดาไฟฟ้าทำให้วงจรอิเลคโทรนิก ซึ่งอยู่ถายในบัตรพนักงาน Tag เริ่มทำงาน และสะท้อนคลื่นที่บรรจุข้อมูลประจำตัวโต้ตอบกลับออกไปยังตัว Reader พร้อมกับข้อมูลที่บันทึกอยู่ในไมโครชิปหน่วยความจำ โดยอาศัยคลื่นพาห์ (Carrier wave) คลื่นที่ถูกการมอดูเลตเรียบร้อยแล้ว ออกมาทางสายอากาศที่อยู่ภายใน บัตรประจำตัวพนักงาน Tag
- คลื่นพาห์ที่ถูกส่งออกมาจาก RFID Tag จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดAmplitude, ความถี่ (Frequency) หรือ เฟส (Phase) ขึ้นอยู่กับวิธีการมอดูเลตทำให้ส่งไปได้ระยะไกลขึ้น
- ตัว Reader จะตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของคลื่นพาห์ และ ทำการถอดรหัส แล้วแปลงออกมาเป็นข้อมูลเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการระบุว่ารหัสเลขประจำตัวในตัวบัตรซึ่งแตกต่างกันทุกบัตร จึงทำให้สามารถระบุว่าเจ้าของบัตรเป็นใคร
ระบบเทคโนโลยี RFID เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่หลายประเทศให้ความสนใจและตื่นตัวกับเทคโนโลยี RFID จึงมีนโยบายสนับสนุนการใช้ RFID อย่างจริงจัง ปัจจุบันเทคโนโลยี RFID เริ่มเข้ามามีความสำคัญกับเราในชีวิตประจำวันมากขึ้นในรูปแบบการใช้งานต่างๆ กันตามแต่ความคิดที่จะประยุกต์ใช้งานได้ เช่น บัตรโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน บัตรพนักงาน กุญแจรถยนต์ (Electronics Immobilization) บัตรร้านสะดวกซื้อ ในแวดวงอุตสาหกรรมนำเทคโนโลยี RFID ไปใช้ในส่วนของการผลิตเพื่อ Track and Trace ระบบบันทึกข้อมูลการจัดการสินค้าระหว่างการผลิตและจำหน่ายสินค้า การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และการกระจายสินค้า ระบบการขนส่ง การติดตามตู้สินค้าระหว่างการขนส่ง (e-Seal) การนำมาประยุกต์ใช้งานในการตรวจสอบย้อนกลับเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการตรวจสอบย้อนกลับในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Traceability) ซึ่งพัฒนาการของเทคโนโลยี RFID ในปัจจุบันและอนาคตนั้นมีศักยภาพและปัจจัยเอื้ออำนวยอื่นๆ ทำให้เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าเทคโนโลยีนี้จะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการบริหารจัดการธุรกิจรูปแบบใหม่ และอำนวยความสะดวกต่อการดำเนินชีวิตอย่างมากองค์ประกอบของการทำงานเครื่องทาบบัตร ระบบ RFIDองค์ประกอบของเครื่องทาบบัตร ระบบ RFID ที่สำคัญมี 2 อย่าง คือ
A.บัตร Proximity, Key Tag, บัตร Tag B.เครื่องทาบบัตร (Tag Reader) หรือเครื่องอ่านบัตร
ระบบ RFID สิ่งสำคัญของเทคโนโลยี RFID นั้นคือ การชี้เฉพาะ ซึ่งเป็นวิธีการระบุเอกลักษณ์ของสิ่งต่างๆ หากเราลอง พิจารณาอย่างง่ายถึงการที่บัตรประจำตัวพนักงาน (Tag) จะมีหน่วยความจำว่าเจ้าของTagนั้นเป็นใคร เช่น ชื่อ-นามสกุล ตำแหน่งงาน เลขประจำตัวพนักงาน จะให้เข้า / ไม่ให้เข้าพื้นที่ใดได้บ้างหรืออีกตัวอย่างคือสินค้าชนิดเดียวกันสองชิ้น เช่น ปลากระป๋อง 2 กระป๋อง ถ้าเราพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอก เช่น ฉลาก สี หรือรูปทรง จะพบว่า ปลากระป๋องทั้งสองกระป๋องนั้นมีความแตกต่างกันน้อยมาก หรืออาจจะไม่มีความแตกต่างกันเลย ซึ่งความเป็นจริงแล้วนั้น Tag สามารถทำให้เราระบุคุณสมบุติอื่น ๆ เช่น แหล่งที่มาของวัสดุวันที่และล็อตของการผลิตพนักงานผู้ผลิต การผ่านการตรวจสอบคุณภาพ (QC Inspection)โดยพนักงานผู้ใดเป็นต้นA.Tag/RFID Tag หรือ Transpondersเช่นบัตรพนักงาน Tag สติกเกอร์ติดหน้ารถTag/RFID Tag นั้นเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าทรานสปอนเดอร์ (Transponder) RFID Tag ก็จะทำหน้าที่ส่งสัญญาณวิทยุ หรือข้อมูลที่บันทึกอยู่ในไมโครชิปและสายอากาศที่อยู่ในตัวบัตร(Tag)ไปที่เครื่องอ่านบัตร(Reader)การสื่อสารระหว่าง Tag และเครื่องอ่านบัตรจะเป็นแบบไร้สายผ่านทางอากาศ (Wireless)ภายใน RFID Tag จะประกอบไปด้วยไมโครชิป ซึ่งเชื่อมต่อกับสายอากาศไมโครชิปที่อยู่ใน RFID Tag จะมีหน่วย ความจำตัว Memory Unit ใช้ในการเก็บข้อมูล ตัวTagสามารถผลิตออกมาเป็นรูปแบบต่าง ๆ กันได้หลายแบบ มีหลายชื่อ ตามผู้คิดค้นผลิตซึ่งจะตั้งชือตามแต่ผู้ผลิตเช่น บัตรพนักงาน (ID Tag) บัตร Proximity หรืออยู่ในรูปแบบตัวพวงกุญแจเหรียญผ่านประตูกั้นของรถไฟฟ้า สติกเกอร์ (Tag) ติดหน้ารถยนต์ฯลฯ ซึ่งมักจะเรียกว่า มายแฟร์(Mifare) เราสามารถแบ่งชนิดของ RFID Tag ออกเป็น 2 ชนิด คือ
- Passive Tag จะไม่มีแบตเตอรี่อยู่ภายใน แต่จะทำงานโดยอาศัยพลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากการเหนี่ยวนำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic) จากตัวอ่านข้อมูล จึงทำให้ RFID Tag ชนิด Passive Tag มีน้ำหนักเบากว่า RFID Tag ชนิด Active Tag มีอายุการใช้งานไม่จำกัด ราคาก็ถูกกว่า แต่ข้อเสียคือระยะการรับส่งข้อมูลใกล้ และตัวอ่านข้อมูลจะต้องมีความไวสูง นอกจากนี้ Passive Tag มักจะมีปัญหาเมื่อนำไปใช้งานในบริเวณที่มีสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้ารบกวนสูงอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองชนิดแล้ว Passive Tag เป็นที่นิยมมากกว่าในเรื่อง ราคาถูกและอายุการใช้งานอย่างไม่จำกัดนั้นเอง
- Active Tag, RFID Tag ชนิดนี้จะมีแบตเตอรี่อยู่ภายใน เพื่อเป็นแหล่งจ่ายไฟฟ้าให้กับวงจรภายใน เราจะสามารถทั้งอ่านและเขียนข้อมูลลงใน RFID Tag ชนิดนี้ได้ และการที่ต้องใช้แบตเตอรี่ตัวอย่าง Active tag คือตัวที่ติดกับรถยนต์เพื่อผ่านช่อง EasyPassของทางด่วน Active Tag มีกำลังส่งสูงและระยะการรับส่งข้อมูลไกลกว่า RFID Tag ชนิด Passive Tag และยังสามารถทำงานในบริเวณที่มีสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้ารบกวนได้ดีอีกด้วย